KKP Research เผยไทยได้รับผลกระทบจากสงครามเทคโนโลยี ในฝั่งซัพพลายเชน-รถยนต์-การลงทุน | Techsauce

KKP Research เผยไทยได้รับผลกระทบจากสงครามเทคโนโลยี ในฝั่งซัพพลายเชน-รถยนต์-การลงทุน

KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่าการแข่งขันและความขัดแย้งในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯและจีน จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นและกำหนดว่าใครจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในทศวรรษข้างหน้า ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มเครื่องยนต์ใหม่ในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้กับพลเมือง รวมไปถึงเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นคงให้แก่ประเทศได้ โดยสหรัฐฯและจีนต่างออกนโยบายชิ้นสำคัญเพื่อยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศให้คงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้

สงครามเทคโนโลยี

การแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯและจีนเกิดขึ้นหลายด้าน แต่ KKP Research มองว่าในปัจจุบันศูนย์กลางของความขัดแย้งในครั้งนี้อยู่ที่เทคโนโลยีสำคัญ 3 ชนิด ได้แก่เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยี Cyber security เพราะ 1) เซมิคอนดักเตอร์มีความสำคัญต่อทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 2) เซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีในการสื่อสารยังเป็นเหมือนกับมันสมองที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเทคโนโลยีทางการทหาร 3) การโจมตีทางด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่ออุตสาหกรรมที่สำคัญ จะให้ภาครัฐเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น 

ในอนาคตข้างหน้า อุปสงค์ของเซมิคอนดักเตอร์จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตของตลาดในสาขาต่างๆ ได้แก่ Data centers, Artificial Intelligence, 5G, Smartphone, autonomous vehicle เป็นต้น ในขณะที่อุปทานของเซมิคอนดักเตอร์มีความเปราะบางสูงต่อความเสี่ยงด้าน supply shock และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์นั้นกระจุกตัวอยู่แค่ใน 6 แหล่งเท่านั้น ได้แก่สหรัฐฯ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนการผลิตชิปไฮเอนด์ระดับต่ำกว่า 10 นาโนเมตรที่กำลังการผลิตทั้งโลกกระจุกอยู่ในไต้หวันถึง 92% และเกาหลีใต้ 8% ด้วยเหตุนี้ หากห่วงโซ่อุปทานเผชิญกับ supply shock ต่างๆ จากภัยธรรมชาติ หรือหากไต้หวันต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางการทหารระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จะรุนแรงมาก และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมภาคการผลิตและอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์อย่างสูง ด้วยเหตุนี้ทำให้ สหรัฐฯ และจีนจำเป็นจะต้องมีนโยบายที่มุ่งเน้นไปยังการสร้างความมั่นคงในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 

ในด้านเทคโนโลยี 5G จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้าน 5G ทั้งในด้านอุปกรณ์และในด้านการกำหนดมาตรฐานของ 5G ด้วยเหตุที่ Huawei ครอบครองสัดส่วนตลาดสูงสุด ซึ่งมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ต้นทุนการติดตั้งที่ถูกกว่าถึง 30% เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ และนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนที่ขยายการลงทุนจากจีนไปยังหลายประเทศในภูมิภาค เอเชีย  แอฟริกา และ อเมริกาใต้ อย่างไรก็ตาม หลายประเทศมีความกังวลในเรื่องภัยสอดแนมและปัญหาความปลอดภัยข้อมูลจากอุปกรณ์ของ Huawei บางประเทศถึงขั้นออกมาตรการในการจำกัดการใช้อุปกรณ์จาก Huawei ในอนาคตข้างหน้าที่ความปลอดภัยไซเบอร์จะมีความสำคัญมากขึ้น อาจเพิ่มแรงกดดันที่ทำให้มาตรฐานของเทคโนโลยีแยกออกเป็นสองค่าย นั่นคือค่ายสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร และอีกฝั่งก็คือค่ายจีน หากมาตรฐานของเทคโนโลยีหรือโลกของอินเตอร์เน็ตถูกตัดขาดหรือแยกออกเป็นสองค่ายจริง ๆ อาจทำให้ต้นทุนการเข้าถึงข้อมูลเพิ่มสูงขึ้นส่งผลทำให้ผลิตภาพของโลกลดลงและอาจเร่งทำให้ห่วงโซ่อุปทาน การลงทุน และการค้าโลก เกิดการสับเปลี่ยนมากขึ้น ในกรณีนี้ ประเทศไทยอาจถูกบังคับให้ต่องเลือกค่ายและต้องรับต้นทุนในการติดต่อสื่อสารรวมไปถึงต้นทุนในการเข้าถึงข้อมูลทีเพิ่มสูงขึ้น

KKP Research มองว่าการแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯกับจีนรวมไปถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ อาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจไทยใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

1) ความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานของการผลิตและราคาสินค้า

 ในอนาคตข้างหน้าที่เซมิคอนดักเตอร์มีความสำคัญต่อแทบทุกสินค้าและบริการ ทำให้ชิปมีความคล้ายคลึงกับน้ำมันที่จำเป็นอย่างในยิ่งในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ด้วยความที่ห่วงโซ่อุปทานชิปมีเปราะบางและกระจุกตัวสูง หากเกิด supply shock จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาจส่งผลกระทบส่งผ่านต่อราคาสินค้าและบริการอื่นๆ และทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มสูงขึ้น คล้ายกับวิกฤตน้ำมัน ในกรณีของประเทศไทย มีสัดส่วนการนำเข้า integrated circuits หลักจากมาเลเซีย ไต้หวัน และญี่ปุ่น รวมกันสูงถึง 54% เพราะฉะนั้นหากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีน ในเรื่องข้อพิพาททะเลจีนใต้รวมไปถึงไต้หวัน ลุกลามไปเป็นความขัดแย้งทางการทหาร ก็จะมีผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

2) ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ 

ภาวะขาดแคลนชิปจะส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญต่อไทยและพึงพาเซมิคอนดักเตอร์สูง นอกจากนี้ หากอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยเปลี่ยนไปตามแนวโน้มใหม่ไม่ว่าจะเป็น EV และ Autonomous Vehicle มากยิ่งขึ้น ช็อกที่เกิดขึ้นต่อห่วงโซ่อุปทานอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อการผลิตรถยนต์และการส่งออกรถยนต์

3) ความเสี่ยงต่อการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ 

การแข่งกันด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐ ฯ และจีนจะทวีความรุนแรงขึ้น จะทำให้เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นในอัตราที่เร็วยิ่งขึ้นและผนวกเข้ากับระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ในปัจจุบันไทยอยู่อันดับ 46 ของโลกที่มีความพร้อมในการนำเทคโนโลยีแห่งอนาคต (Frontier Technology) มาใช้ ได้แก่ AI, Robotics และ Biotechnology หากประเทศไทยไม่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนากระบวนการผลิตแบบใหม่และไม่ให้ความสำคัญในการป้องกันข้อมูลและลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางด้านไซเบอร์ อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยและตำแหน่งของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลกถดถอยอย่างต่อเนื่อง

เพื่อที่จะลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยจากความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่าการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้ไทยเป็นฐานการผลิตชิปเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะมีส่วนช่วยในการลดผลกระทบจากความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่ใช่งานง่ายที่ไทยจะสามารถดึงดูดการลงทุนในภาคการผลิตเซมิคอนดักเตอร์จากอุปสรรค 2 ข้อคือ 1) คุณภาพของทรัพยากรมนุษย์และความสามารถในการดึงดูดผู้เปี่ยมศักยภาพ (Talent) ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ 2) จุดอ่อนของไทยในด้านกฎหมายธุรกิจและการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ภาครัฐควรให้ความสำคัญและเร่งพัฒนาใน 2 ด้านนี้หากต้องการดึงดูดการลงทุนในด้านเซมิคอนดักเตอร์ 

นอกจากนี้ การที่จะลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นรวมไปถึงการรักษาตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานโลกในอนาคต ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรมีการติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด โดยภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายดังนี้ 

1) ส่งเสริมและพัฒนาทักษะแรงงานให้เพื่อปรับตัวให้พร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ 

2) ลงทุนเพื่อพัฒนา soft infrastructure ได้แก่ ระบบฐานข้อมูล และ High-speed broadband 

3) ลดกฎระเบียบที่ยุ่งยากและเพิ่มความชัดเจนของนโยบายทางภาษีและนโยบายส่งเสริมการลงทุน และส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพในไทย 

4) ลงทุนในการเสริมความแข็งแกร่งในด้าน Cyber security และ data protection ทั้งในกิจกรรมของภาครัฐและภาคเอกชน โดยนโยบายที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ไทยสามารถพลิกจากความเสี่ยงที่มีผลกระทบขนาดใหญ่กลายเป็นโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซอุปทานแห่งอนาคตและเพิ่มผลิตภาพให้กับเศรษฐกิจไทย 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

One Bangkok พัฒนากรุงเทพฯ ชูแนวคิด “The Heart of Bangkok” เมืองที่ใช้ใจสร้าง

วัน แบงค็อก พลิกโฉมวงการอสังหาฯไทย ด้วยการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ ปักหมุด “เมืองกลางใจ” หรือ The Heart of Bangkok เมืองที่ใช้ใจสร้าง พร้อมเผยประสบการณ์ชอปปิ้งและไลฟ์สไตล์ระดับโลก เตรีย...

Responsive image

Indorama Ventures ออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้าน ตอกย้ำผู้นำธุรกิจยั่งยืน

Indorama Ventures ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ประกาศความสำเร็จในการระดมทุน 1 หมื่นล้านบาท ผ่านการออกหุ้นกู้สกุลเงินบาทให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนร...

Responsive image

Jitta ก้าวสู่ปีที่ 12 เดินหน้าแก้วิกฤตการเงิน หนุนคนไทยออมและลงทุนอัตโนมัติ

Jitta เข้าสู่ปีที่ 12 เติบโตอย่างแข็งแกร่งบนเป้าหมายที่จะสร้างนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อช่วยให้คนไทยเข้าถึงการลงทุนที่ง่ายและสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า...