7 ข้อดีของการอ่านสร้างผู้นำที่ดี สาเหตุที่การอ่านยังเป็นวิธีพัฒนาผู้นำที่คลาสสิกและไม่มีวันตาย | Techsauce

7 ข้อดีของการอ่านสร้างผู้นำที่ดี สาเหตุที่การอ่านยังเป็นวิธีพัฒนาผู้นำที่คลาสสิกและไม่มีวันตาย

"Leaders are readers” ผู้คนมักเชื่อว่าจะเป็นผู้นำที่ดีได้นั้นต้องอ่านให้มาก ในยุคที่มีสื่อต่าง ๆ มากมายทั้ง สารคดี พอดแคสต์ หรือคลิปวิดีโอสั้น ทำไมประโยค “ผู้นำที่ดีต้องอ่านหนังสือ” ถึงยังคงถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน 

มาไขข้อสงสัย สาเหตุที่การอ่านยังเป็นวิธีพัฒนาผู้นำที่คลาสสิกและไม่มีวันตาย ด้วย 7 ข้อดีของการอ่านพัฒนาสมองและผู้นำ

7 ข้อดีของการอ่านสร้างผู้นำที่ดี

รู้หรือไม่ ผู้นำองค์กรใหญ่ระดับโลกล้วนเป็นนักอ่านตัวยงกันทั้งนั้น เช่น Warren Buffet หนึ่งในนักลงทุนผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอ่านหนังสือวันละ 500 หน้า หรือ Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft ก็อ่านหนังสือปีละ 50 เล่ม 

แม้การอ่านจะเป็นวิธีหาความรู้ที่ดูล้าสมัยกว่าการฟังพอตแคสต์ หรือดูยูทูป แต่ก็มี 7 จุดแข็งที่หาไม่ได้ในสื่อสมัยใหม่เช่นเดียวกัน จึงเป็นจุดที่ผู้นำส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นว่าการอ่านสำคัญและจำเป็น

1. ช่วยให้จิตใจสงบ

แทนที่จะเล่นโทรศัพท์ก่อนเข้านอน เปลี่ยนมาเป็นอ่านหนังสือก่อนนอนจะช่วยให้คุณสงบและหลับง่ายขึ้น จากการศึกษาพบว่า คนที่อ่านหนังสือก่อนนอนกว่า 50% นอนหลับได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้อ่านหนังสือ โดยจะนอนได้ยาวขึ้นถึง 1 ชั่วโมง 37 นาที/สัปดาห์

Bill Gates เคยออกมาบอกว่า การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและมีคุณภาพเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสมองของเรา เพราะยิ่งนอนหลับไม่เพียงพอ หรือนอนน้อยเกินไปเป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่โรคอัลไซเมอร์ ดังนั้น การอ่านหนังสือจึงเป็นวิธีการผ่อนคลายร่างกายที่ดีกว่า เพื่อให้พร้อมสู่การเข้านอน ซึ่งผู้นำที่ดีก็ควรเริ่มต้นมาจากสุขภาพที่ดี ให้พร้อมเปิดรับการเรียนรู้และพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ 

2. วิธีออกกำลังกายสมอง

จากการศึกษาพบว่าคนที่อ่านหนังสือมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยลงถึง 2.5 เท่า เพราะการอ่านทำให้ได้ใช้งานส่วนประสาทหลายส่วนพร้อมกัน ๆ เช่น เมื่อเราอ่านสมองก็จะทำความเข้าใจศัพท์ที่อ่านเจอ และเชื่อมโยงสิ่งที่กำลังอ่านกับความรู้เดิมในสมอง เหมือนการให้สมองได้ยืดเส้นยืดสาย

ผู้นำส่วนใหญ่ต้องใช้พลังสมองมากในแต่ละวัน การอ่านจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่ช่วยให้สมองได้ออกกำลังกายจากการใช้งานส่วนประสาทต่าง ๆ 

3. พัฒนาความจำ

ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หากเริ่มต้นจากการอ่านจะช่วยให้จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เพราะทุกตัวอักษรที่ผ่านตาสมองต้องประมวลและทำความเข้าใจ จากนั้นสมองจะสร้างความทรงจำใหม่จากสิ่งใหม่ที่ได้อ่านเจอ จึงทำให้สามารถจดจำได้ดีกว่าการฟัง หรือการนั่งดูวิดีโอ

4. ขยายโลกทัศน์

โลกกว้างขึ้นเมื่ออ่านหนังสือยังคงเป็นเรื่องจริง หากการเขียนคือการสะท้อนความคิดของผู้เขียน การอ่านก็คือการทำความรู้โลกใบใหม่ในมุมมองใหม่ ๆ เพราะยิ่งอ่านก็ทำให้เห็นและเข้าใจความคิดของผู้คนที่แตกต่างกัน เหมือนได้สวมแว่นตาหลากหลายอันและมองผ่านเลนส์มากมาย ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้รับรู้และเข้าใจมุมมองอื่น ๆ มากเท่านั้น

5. เห็นโอกาสใหม่ ๆ ก่อนใคร

เมื่ออ่านให้มากก็จะรู้มากไปด้วย เรื่องราวมากมายจากหนังสือหลายเล่มก็มาจากเรื่องราว ความรู้ ประสบการณ์จากผู้เขียนที่หลากหลาย การอ่านจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้เราเห็นโลกกว้างขึ้น และได้พบกับโอกาสใหม่ ๆ ตามไปด้วยนั่นเอง

6. ฝึกสมาธิ

นอกจากจะเป็นการออกกำลังกายสมองแล้ว การอ่านยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยฝึกสมาธิ และทำให้สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานขึ้น เนื่องจากการอ่านจำเป็นต้องจดจ่อและทำความเข้าใจกับสิ่งที่อ่านเจอ 

ยิ่งเมื่อต้องอ่านหนังสือหรืองานเขียนเชิงวิชาการ ทำให้การจดจ่อของเราจะสั้นลงไปอีก แต่มีวิธีง่าย ๆ อย่างการใช้ปากกามาร์กเกอร์สี ๆ เช่น สีเหลืองคือเนื้อหาความรู้ สีฟ้าคือคำพูด สีเขียวคือเรื่องนี่น่าสนใจ จะช่วยให้มีสมาธิกับการอ่านงานยาก ๆ ได้มากขึ้น

7. ทางลัดสู่ความรู้และประสบการณ์

การเขียนหนังสือ 1 เล่ม นักเขียนบางคนใช้เวลา 3-5 ปีในการเขียนให้เสร็จ เพราะต้องรวบรวมความรู้ ประสบการณ์มากมาย การอ่านจึงเป็นทางลัดที่เราสามารถเรียนรู้จากความรู้และประสบการณ์เหล่านั้นในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน 

ในปัจจุบันทักษะการอ่านที่ดีเริ่มหายากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะผู้คนมักทำหลายพร้อมกัน ซึ่งส่งผลให้คนรุ่นใหม่มีสมาธิและการจดจ่อสั้นลงกว่าเดิม ผลการศึกษาของ Microsoft พบว่าผู้คนให้ความสนใจได้เพียงประมาณ 8 วินาทีเท่านั้น 

ข้อดี 7 ข้อนี้จึงเป็นสาเหตุที่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกยังคงให้ความสำคัญกับการอ่าน สุดท้ายแล้วหากคุณรู้สึกเบื่อ ๆ ในบางวัน ลองเปลี่ยนจากหยิบโทรศัพท์เป็นหยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาแทน อาจได้พบกับความสงบและสนุกไปพร้อม ๆ กัน

อ้างอิง: inc

ถึงเป็นธุรกิจเล็ก วัฒนธรรมองค์กรก็สำคัญ
เริ่มเปลี่ยนวันนี้ก่อนสาย

.
หากองค์กรของคุณกำลังเจอปัญหา … พนักงานหมดไฟ…ทุกการตัดสินใจล่าช้าเพราะต้องรอ CEO … พนักงานลาออกเยอะ แต่ไม่รู้สาเหตุ และอีกมากมายปัญหาในองค์กรที่คุณแก้ไม่ตก
.
Peoplesauce ช่วยธุรกิจ SMEs /Startups ที่กำลัง Scale up สร้าง “คน” และ“Culture” เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

เริ่มเปลี่ยนไปพร้อมกับเราได้ตั้งแต่วันนี้ที่

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำยังไง ถ้าไม่ได้เป็น ‘ลูกรัก’ เจ้านาย

‘ระบบลูกรัก’ ที่ฝังรากลึกในองค์กร เป็นอีกหนึ่งปัญหาช้างในห้อง (Elephant In The Room) ปัญหาใหญ่ที่คนส่วนใหญ่รับรู้ แต่ไม่มีใครอยากพูดถึง หรือพูดไม่ได้ ทำยังไงดี...

Responsive image

รู้จักประโยชน์ Reverse Mentoring ที่ให้คนรุ่นใหม่มาสอนผู้ใหญ่ในองค์กร

เมื่อนึกถึงการทำงานในองค์กรแล้วส่วนใหญ่คนที่อายุมากกว่าหรืออาวุโสจะต้องให้คำแนะนำรุ่นน้อง แล้วถ้ากลับกันลองให้รุ่นน้องเป็นคนแนะนำผู้ใหญ่บ้างจะเป็นอย่างไร?...

Responsive image

พนักงาน 47% ไม่คิดอยากเลื่อนขั้น เพราะต้องทำงานหนักกว่าเดิม

จากสำรวจล่าสุดพบว่ามนุษย์เงินเดือนไม่ต้องการเลื่อนขั้น เพราะต้องการความสุขและพึงพอใจในบทบาทปัจจุบัน มากกว่าต้องก้าวหน้าไปรับผิดชอบงานที่มากขึ้น...