บริษัทผลิตฮาร์ดแวร์อิเล็กทรอนิกส์ต่างประสบอยู่ในภาวะคับขัน หลังจากราคาแร่หายากพุ่งสูงท่ามกลางอุปสงค์ที่เพิ่มมากขึ้น และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่นับวันจะรุนแรง เนื่องจากสองประเทศล้วนเป็นผู้กุมบังเหียนแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุหายากสำคัญระดับโลก
Praseodymium (เพรซีโอดิเมียม) และ Neodymium (นีโอไดเมียม) ทั้งสองแร่ธาตุนี้อยู่ในหมวดหมู่ของโลหะธาตุหายาก และมีบทบาทสำคัญต่ออุปกรณ์เทคโนโลยีทุกประเภทตั้งแต่ลำโพง มอเตอร์ไฟฟ้า ไปจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ และอาวุธยุทโธปกรณ์ พอเหตุการณ์โควิด-19 เกิดขึ้นก็ได้ผลักดันให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เฟื่องฟูอย่างมหาศาล โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่อาศัยแร่ธาตุสำคัญกลุ่มนี้ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และแบตเตอรี่
Max Hsiao Senior Manager ของผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์เสียงจากเมืองตงกวน ประเทศจีน ได้กล่าวว่ากว่าจะได้ชิ้นส่วนลำโพงและอุปกรณ์เสียงทั้งหมดนั้นจะต้องใช้ธาตุโลหะ Praseodymium และ Neodymium ด้วยเช่นกัน จากความต้องการที่มากขึ้น ได้ทำให้แนวโน้มราคาโลหะที่ Hsiao ใช้ประกอบลำโพงสำหรับ Amazon และ Lenovo ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านับตั้งแต่เดือนมิ.ย. ปี 2020 สู่ 117,300 ดอลลาร์ต่อตันในเดือนส.ค. ที่ผ่านมา Hsiao ได้กล่าวกับสื่อ Nikkei Asia ว่า “ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของแร่ธาตุหายากนั้นส่งผลกระทบอย่างมาก ทำให้กำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงอย่างน้อย 20% และไม่คิดว่าทิศทางราคาจะกลับมาต่ำลงในเร็ววันนี้”
ยิ่งไปกว่านั้น ความตึงเครียดทางการเมืองก็ทำให้สถานการณ์ธาตุหายากย่ำแย่ลง
ประเทศจีนเป็นเพียงประเทศเดียวที่มีครอบครองกระบวนการผลิตแร่หายากแบบครบวงจรตั้งแต่การขุด การกลั่น ไปจนถึงการแปรรูป ซึ่ง Roskill บริษัทวิเคราะห์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ก็เผยว่าในปีที่ผ่านมา จีนครอบครองกำลังการผลิตแร่หายากทั่วโลกถึง 55% และแร่ธาตุหายากที่ได้รับการกลั่นออกมาแล้ว 85% และเมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้บอกเป็นนัยว่าอาจควบคุมการส่งออกอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ราคาแร่ธาตุหายากสูงขึ้น
ข้อมูลจาก Shanghai Metals Markets พบว่า ราคาแร่ธาตุหายากอาทิ นีโอไดเมียมออกไซด์ ส่วนประกอบหลักสำหรับมอเตอร์และกังหันลม พุ่งขึ้น 21.1% ตั้งแต่ต้นปี 2021 ขณะที่โฮลเมียมที่ใช้ในแม่เหล็ก และโลหะผสมแม่เหล็กสำหรับเซ็นเซอร์และตัวกระตุ้นให้มอเตอร์ทำงานนั้นก็สูงขึ้นกว่า 50% จนถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกัน แม้แต่ราคาโลหะที่รู้จักกันทั่วไปอย่าง ดีบุก ทองแดง อลูมิเนียม และเหล็กกล้าก็ปรับขึ้น ซึ่งก็ได้รับแรงปัจจัยจากการควบคุมของจีน
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ แองเจลา ชาง นักวิเคราะห์จากสถาบัน Industry, Science and Technology International Strategy (ISTI) ระบุว่าการควบคุมครั้งนี้ช่วยเปิดทางให้จีนต่อต้านแรงกดดันจากสหรัฐได้ และจะเป็นตัวต่อรองที่สำคัญในการเจรจาทางการค้า และยิ่งความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งผลักดันราคาแร่ธาตุหายากในสูงขึ้นในระยะยาวมากเท่านั้น
แน่นอนว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบย่อมไม่พ้นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง เนื่องจากมีแนวโน้มสูงมากกว่าต้นทุนในการผลิตจะกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อไปยังลูกค้าทั่วโลก ตัวอย่างผู้ที่ได้รับผลกระทบ อาทิ HP, Dell, Apple, Samsung รวมถึงบริษัทยานยนต์ขนาดใหญ่
แม้จะไม่มีปัจจัยด้านการเมืองก็ตาม แต่การผลิตนวัตกรรมใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีมาใช้ เช่น ยานยนต์อัจริยะ และอุปกรณ์ 5G ก็จะเป็นตัวดึงราคาแร่หายากให้สูงขึ้นอยู่ดี
อ้างอิง Nikkei Asia
Sign in to read unlimited free articles