ในปี 2020 ที่ผ่านมา นอกจากเราจะได้สังเกตเห็นถึงความปั่นป่วนและวิกฤติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากไวรัส COVID-19 แล้ว ที่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบในแทบทุกอุตสาหกรรม ยกเว้นอุตสาหกรรม biopharma ที่ได้รับอานิสงส์จากความต้องการอย่างล้มหลามจากทั่วโลกของยารักษาโรคและวัคซีน และ Pfizer-BioNTech ก็เป็น 1 ในนั้น
แน่นอน มุมมองในแง่ของตลาดทุนตลาดเงิน ทั้งนักลงทุนและเจ้าของบริษัทต่างก็มองไปที่ราคาหุ้นของบริษัทยาที่จะรับกำไรกันอย่างมหาศาล หากมีบริษัทนั้นสามารถที่จะทดสอบวัคซีน COVID-19 ได้สำเร็จ และนี่ก็คงเป็นเหตุผลให้กับ CEO ของ Moderna และ Pfizer ตัดสินใจขายหุ้นจำนวนมหาศาลเพื่อเอากำไรหลังจากที่ผลทดสอบวัคซีนออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ ซึ่งตรงกันข้ามกับ Uğur Şahin (อูกูร์ ซาฮิน) CEO ของ BioNTech ผู้ผลิตยาและวัคซีนสัญชาติเยอรมันที่ร่วมมือกับ Pfizer ในการผลิตวัคซีน ที่เขากลับไม่ตัดสินใจเทขายหุ้นบริษัทผลิตวัคซีนของตนสักตัวเดียว แม้ว่าหุ้นของเขาจะอยู่ในช่วงตลาดขาขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม มาดูกันว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้เขายังเก็บหุ้นไว้ เขามองเห็นอะไรในตลาด biopharma ในระยะหลังจากนี้ ที่โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาด Uğur Şahin เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาด้านมะเร็งวิทยาและโรคติดเชื้อ เขาได้จัดตั้งบริษัทด้าน Biotechnology ที่ชื่อว่า BioNTech เมื่อปี 2008 ซึ่งเน้นการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการรักษาโรคมะเร็ง หนึ่งในนั้นก็ได้มีเทคโนโลยี messenger RNA หรือ mRNA อยู่ในการพัฒนา แต่เดิมบริษัท BioNTech ไม่ได้มีชื่อเสียงหรือหวือหวาเท่าใดนักเมื่อเทียบกับบริษัทเวชภัณฑ์รายอื่น อีกทั้งในปี 2019 บริษัทรายงานตัวเลขขาดทุนมากกว่ากำไรอีกด้วย
แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เกิดขึ้นในช่วงต้นการแพร่ระบาดของ COVID-19 เดือนมกราคม ปี 2020 Uğur Şahin ได้สังเกตการณ์การแพร่ระบาด และจุดประกายไอเดียขึ้นมาว่า mRNA อาจใช้รักษา COVID-19 ได้ และอาจช่วยชีวิตคนได้นับล้านคนจากวิกฤติครั้งนี้ บริษัท BioNTech จึงผันตัวจากการผลิตยาเพื่อต้านมะเร็ง มาเน้นการผลิตวัคซีนเพื่อต้านCOVID-19 โดยเฉพาะ นอกจากนี้ Uğur Şahin ก็ตัดสินใจร่วมพันธมิตรกับยักษ์ใหญ่เวชภัณฑ์สหรัฐอย่าง Pfizer เพื่อร่วมพัฒนาวิจัยผลิตวัคซีนกว่า 3,000 ล้าน Doseให้เสร็จสิ้นก่อนจบปี 2020
การตัดสินใจครั้งนี้ของ Uğur Şahin ทำให้ดึงดูดและเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐจำนวนมหาศาล มูลค่าบริษัทตลอดทั้งปี 2020 เพิ่มขึ้น 900% อยู่ที่ 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่างจากในช่วงแรก ปี 2019 ที่นักลงทุนให้มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 3,400 ล้านดอลลาร์ นับว่าความนิยมบริษัท BioNTech ได้พลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือเลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่าบริษัท BioNTech ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามด้วยผลงานวัคซีน COVID-19 อันโดดเด่นในเวลาไม่ถึงปี และ Uğur Şahin ที่ถือหุ้นในบริษัท BioNTech 17% ขณะนี้ก็มีความมั่งคั่งราว 6,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม Uğur Şahin ยังคงตัดสินใจเก็บหุ้นของบริษัทตนต่อไป ไม่ได้ขายหุ้นโดยทันทีเหมือน CEO รายอื่น เพราะแท้จริงแล้ว Uğur Şahin ยังคงเชื่อมั่นว่า BioNTech จะเติบโตและราคาไปได้ไกลมากกว่านี้ โดย Uğur Şahin ได้กล่าวกับทางนักลงทุนในเดือนมี.ค. ที่ผ่านมาว่า
“แนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีของเราไม่ได้มาจากความต้องการที่จะผลิตวัคซีน COVID-19 แล้วเสร็จสิ้นภารกิจเพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้ว เป้าหมายของเราตั้งแต่แรกก็คือการผลิตเทคโนโลยีรูปแบบใหม่สำหรับวงการเภสัชภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ และสามารถใช้รักษาโรคอื่น ๆ ได้อย่างแม่นยำ”
ดังนั้นความสำเร็จในการผลิตวัคซีน COVID-19 สำหรับ Uğur นั้นไม่ใช่ที่สุดของ BioNTech แต่อย่างใด แต่กลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นอย่างแท้จริงที่จะยกระดับเพิ่มความสามารถพัฒนา mRNA ให้มีประสิทธิภาพทางการแพทย์ ใช้รักษาโรคร้ายแรงต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิม หรืออาจอุบัติขึ้นมาได้อีกในอนาคต
อ้างอิง: Forbes
Sign in to read unlimited free articles