Data Science เบื้องหลังความร้อนแรงของ Liverpool และความสำเร็จที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย | Techsauce

Data Science เบื้องหลังความร้อนแรงของ Liverpool และความสำเร็จที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

ความสำเร็จที่เห็นเป็นประจักษ์ของทีมหงส์แดง Liverpool ในยุคปัจจุบันไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ด้วยสถิติล่าสุดที่สามารถเก็บแต้มได้ 64 แต้ม จาก 22 นัด ชนะ 21 นัด เสมอ 1 และยังไม่แพ้ใครเลยในฤดูกาลนี้ 

นอกจากองค์ประกอบ ทั้งเรื่องของคุณภาพของนักเตะและผู้จัดการทีมแล้ว Liverpool ยังถือเป็นทีมที่นำข้อมูลและเรื่องของ Data Science เข้ามาใช้อย่างจริงจัง และกลายเป็น case study ที่น่าสนใจในวงการฟุตบอล 

แมตช์ระหว่าง Liverpool และ Tottenham Hotspur เมื่อเสาร์ที่แล้ว เป็นสถานการณ์ที่ลูกทีมของ Jose Mouriho ต้องหาทางตีเสมอ หลังจากที่โดนนำด้วยลูกยิงของ Firmino แต่ยังไม่สามารถทิ้งห่างไปได้ จึงทำให้ทีมต้องตกอยู่ในภาวะกดดัน บอลเคลื่อนที่ขึ้นลงสนามอย่างรวดเร็ว และ Spurs เกือบทำได้แบบฉิวเฉียดจากโอกาสของ ซนฮึงมิน และ Giovani Lo Celso 

แต่จนท้ายที่สุด Liverpool ก็สามารถทำลาย momentum ของ Spurs ด้วยเทคนิคการวางตำแหน่งการยืนของผู้เล่นทั้ง 10 คน โดยให้ยืนแพคกันอยู่บริเวณกลางสนามด้วยระยะห่างกันไม่ถึง 20 หลา บังคับให้ Spurs ต้องส่งบอลไปรอบๆ และไม่สามารถทำอันตรายได้จนจบเกม Liverpool เป็นฝ่ายกำชัยชนะและเก็บ clean sheet ติดต่อกันเป็นนัดที่ 6

เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าทีมฟุตบอลส่วนใหญ่ต่างก็มีทีมวิเคราะห์ข้อมูลอยู่แล้ว และ Liverpool ไม่ได้เป็นทีมแรกที่ริเริ่มการนำข้อมูลมาบริหารทีม อย่าง Chelsea และ Arsenal เองก็เคยมีแผนก Analytic department และการทำงานร่วมกับบริษัท statDNA เช่นกัน แล้วทำไม Liverpool ถึงสามารถสร้างความแตกต่างได้? 

Mindset ของผู้บริหาร

แน่นอนว่าการมีข้อมูลเยอะ ไม่ได้หมายความว่าจะมีประโยชน์ ถ้าไม่ถูกนำมาตกผลึกและให้ค่าโดยผู้บริหารสูงสุดผู้มีสิทธิตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ซึ่งในเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่า ผู้บริหารของ Liverpool มีส่วนสำคัญมากกับนโยบายการนำ Data Science มาใช้อย่างจริงจัง

เริ่มจาก บริษัท เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป (FSG) เจ้าของทีม Liverpool ในปัจจุบัน ที่ได้นำแนวคิดเรื่องการใช้ Data มาบริหารทีม โดยเจ้าของบริษัทอย่าง John Henry ผู้มีความหลงใหลในกีฬาเบสบอล เคยพยายามเสนอค่าตัวกว่า 12.5 ล้านเหรียญต่อปีให้กับ Billy Beane (ตัวเอกในหนังชีวประวัติเรื่อง Moneyball ที่โด่งดังจากการสร้างทีมด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล) ให้มารับตำแหน่งผู้จัดการทีม Boston Red Sox ในปี 2002

John Henry ดึงตัว Ian Graham ผู้จบปริญญาเอกจากสาขาฟิสิกส์เชิงทฤษฎีมารับตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกวิจัยของ Liverpool โดย Ian มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าลึกลงไปภายใต้ตัวเลขสถิติ จะสามารถเผยถึงเทรนด์ระหว่างการแข่งขันและนำมาประเมินผู้เล่นแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ 

Michael Edwards ผู้อำนวยการฟุตบอลของ Liverpool เองก็เคยเป็นนักวิเคราะห์มาก่อนตั้งแต่ตอนทำทีมกับ Portsmouth และ Spurs 

Pitch Control

ตัวอย่างการศึกษา Pitch Control เคยถูกอธิบายเอาไว้โดย Tim Waskett และ Will Spearman ผู้อยู่ในทีม data science ของ Liverpool

ตามกราฟฟิกด้านล่าง ผู้เล่นในวงกลมสีเหลืองคือคนที่ครองบอลอยู่ขณะนั้น ส่วนพื้นที่สีน้ำเงินคือบริเวณที่เพื่อนร่วมทีมยืนอยู่ และสีแดงคือบริเวณที่คู่แข่งคุมพื้นที่ไว้ ดังนั้นผู้เล่นจึงควรเลือกส่งบอลไปในโซนสีน้ำเงินเท่านั้น 

อีกหนึ่งทฤษฎีที่ Liverpool ใช้ คือการนำ event data และ tracking data มารวมกันเพื่อวิเคราะห์ทุกการเคลื่อนไหวบนสนามและหาวิธีเพิ่มโอกาสการทำประตู

ในภาพ ทีมสีแดงคือ Liverpool และบริเวณสีแดงคือพื้นที่ที่นักเตะมีโอกาสเคลื่อนที่ไปถึงเร็วกว่าคู่แข่ง ซึ่งหากส่งบอลไปบริเวณนั้นก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสการทำประตูมากขึ้น โดยทุกๆ การเคลื่อนไหวจะถูกนำมาคำนวนเป็นเปอร์เซ็น

ทุกข้อมูลและความรู้ที่ได้จากทีม data science จะถูกส่งผ่านไปยัง Jürgen Klopp ผู้จัดการทีมคนสำคัญ เพื่อนำไปประกอบกับเซ้นส์ด้านฟุตบอลของเขาในการวางแทคติกและฝึกซ้อมต่อไป

จากสถิติในฤดูกาลนี้ Liverpool ถูกคู่แข่งยิงเข้ากรอบเพียง 55 ครั้ง ซึ่งดีกว่า Chelsea และ Manchester City ที่ถูกยิงเข้ากรอบไป 65 และ 70 ครั้งตามลำดับ โดยหลายคนเชื่อกันว่าเป็นผลมาจากที่นักเตะได้ศึกษา pitch control มาเป็นอย่างดี และถูกสั่งให้จัดระเบียบการตั้งรับอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในเกมกับ Spurs

กองหลังอย่าง Trent Alexander-Arnold และ Andy Robertson มีสถิติผ่านบอลให้กันค่อนข้างสูง แม้จะยืนกันอยู่คนละฝั่งของสนาม โดยจากภาพด้านล่าง จะเห็นว่า Trent Alexander-Arnold ส่งบอลข้ามฝั่งหลายครั้งอย่างจงใจ เหมือนได้รับการบรีฟมาเป็นอย่างดี ซึ่งก็น่าจะเป็นผลจากการศึกษา pitch control เช่นกัน 

พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพลังของ Data Science มีผลจริงกับผลการแข่งขันในสนาม หากคิดจากการที่ Liverpool ไม่แพ้ให้ใครในพรีเมียร์ลีกมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2019 แม้จะยังมีกูรูฟุตบอลอีกหลายคนที่ยังไม่ยอมรับในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

และเมื่อดูจากสถานการณ์ หากทีมอื่นๆ ยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูล ก็อาจจะทำให้ Liverpool มีความได้เปรียบและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แฟนบอลทีมอื่นอาจจะต้องทนมองเห็นความสำเร็จของคู่แข่งต่อไปอีกเป็นเวลานาน

อ้างอิง Liverpool.com 

Sign in to read unlimited free articles

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Jensen Huang ตอบประเด็นอนาคต AI ยังไงต่อ ? ในงาน GTC 2024

บทความนี้ Techsauce ชวนมาฟังความเห็นของ CEO บริษัทชิปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เกี่ยวกับอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ในงาน GTC 2024...

Responsive image

SpaceVIP จัดทริปกินมื้อหรูระดับมิชลินบนอวกาศ สนนราคาต่อหัว 17.8 ล้านบาท

โอกาสสำหรับการทานอาหารสุดหรูบนอวกาศมาถึงแล้ว SpaceVIP เตรียมเปิดประสบการณ์การทานอาหารจากเชฟระดับ Michelin Star ที่ความสูงกว่า 100,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเลในการผจญภัยบนขอบอวกาศ โอกา...

Responsive image

Rare Beauty จะเปลี่ยนเจ้าของ? แหล่งข่าวชี้ Selena Gomez เตรียมขายแบรนด์

Rare Beauty จะเปลี่ยนเจ้าของ? ข่าวจาก Bloomberg ออกมาว่าตอนนี้ Selena Gomez ได้เริ่มดำเนินการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุนเพื่อประเมินมูลค่าแบรนด์แล้ว...