มธ. ชี้งานวิจัยระบุ หากคนไทยได้วัคซีนครบ 100 ล้านโดสภายในปี 64 เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ คาดการณ์ไตรมาส 1 ปี 65 เศรษฐกิจฟื้นตัว นักท่องเที่ยวต่างชาติสูงขึ้นกว่า 1.1 ล้านคน | Techsauce

มธ. ชี้งานวิจัยระบุ หากคนไทยได้วัคซีนครบ 100 ล้านโดสภายในปี 64 เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ คาดการณ์ไตรมาส 1 ปี 65 เศรษฐกิจฟื้นตัว นักท่องเที่ยวต่างชาติสูงขึ้นกว่า 1.1 ล้านคน

กรุงเทพฯ (16 พฤศจิกายน 2564) -- สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU-RAC) โดย พ.ต.ต.ดร.ชวนัสถ์ เจนการ หัวหน้าโครงการวิจัย และ ผศ. ดร. สุทธิกร กิ่งเเก้ว ผู้บริหารโครงการวิจัย ได้เผยผลวิจัย “ภาวะเศรษฐกิจและสังคมไทยภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) และการพัฒนาการผลิตวัคซีนภายในประเทศ” โดยได้สรุปภาพรวมผลกระทบทางเศรษฐกิจของไทยท่ามกลางสถานการณ์โรคโควิด-19 ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมใน 8 ด้านสำคัญ ได้แก่ หนี้สาธารณะ หนี้เอกชน หนี้ครัวเรือน การท่องเที่ยว การว่างงาน ธุรกิจที่เลิกกิจการ โรงงานอุตสาหกรรม และวิถีชีวิตแบบใหม่ พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าหากคนไทยฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 ช่วยให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเหลือประมาณ 2,500 คนต่อวัน ส่งผลด้านเศรษฐกิจคาดว่านักท่องเที่ยวจะเพิ่มมากขึ้นเกือบ 3 แสนคน ในไตรมาสที่ 4 และไตรมาส 1 ปี 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวจะสูงขึ้นกว่า 1.1 ล้านคน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยคาดการณ์ว่าปี 2565 เศรษฐกิจจะขยายตัว 3.9% ด้วย

ผศ.ดร.สุทธิกร กิ่งเเก้ว

ผศ.ดร.สุทธิกร กิ่งเเก้ว ผู้บริหารโครงการสำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยถึงผลการวิจัยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอดกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบในหลายด้านทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพารายได้จากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการท่องเที่ยว การส่งออกสินค้าและบริการ และการลงทุนจากต่างประเทศ จึงเป็นที่มาในการศึกษาวิจัยเรื่อง “ภาวะเศรษฐกิจและสังคมไทยภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) และการพัฒนาการผลิตวัคซีนภายในประเทศ” ตลอดจนนโยบายรัฐบาลและแผนการรับมือ รวมถึงการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และศึกษาประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงด้านสุขภาพระยะยาวจากการมีฐานการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

เศรษฐกิจไทย

จากการศึกษาวิจัยในด้านเศรษฐกิจ พบว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ในปี 2563 ลดลง 6.1% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยส่งผลกระทบตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 เกิดการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดยเฉพาะสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าที่หดตัว 36.6% และ 21% ตามลำดับ นอกจากนี้ยังทำให้ภาคการส่งออกหดตัวลงด้วย โดยปี 2563 ลดลง 19.4% และยังพบอีกว่าส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมไทยใน 8 ด้าน ได้แก่

  1. หนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 51.83% และคาดว่าเพิ่มต่อเนื่องอีกเป็น 55.59% ในปี 2564 ซึ่งใกล้ระดับเพดานความยั่งยืนทางการคลังเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 60% และเข้าใกล้ระดับเพดานปัจจุบันที่ 70% ที่พึ่งปรับเพิ่มขึ้นไม่นานนี้
  2. หนี้เอกชน ซึ่งเป็นการกู้ยืมเงินจากภาคเอกชนที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เพิ่มขึ้นตั้งแต่ในช่วงแรกของการระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อจะให้ธุรกิจกลับมาดำเนินการต่อได้ โดยเฉพาะการระบาดระลอก 3 ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2564 จึงทำให้มูลค่าการออกตราสารหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 61.90% และคาดการณ์ว่าครึ่งหลังปี 2564 จะมีการออกตราสารหนี้ใหม่อีกกว่า 4 แสนล้านบาท
  3. หนี้ครัวเรือน ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 คนไทยมีหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 13.59 ล้านล้านบาท และเพิ่มต่อเนื่องจนไตรมาสที่ 1 ในปี 2564 มีประมาณ 14.13 ล้านล้านบาท โดยผู้กู้มีทั้งเพื่ออสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัยและรถยนต์ และกลุ่มผู้กู้เพื่อหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
  4. การท่องเที่ยว ในปี 2563 รายได้จากการท่องเที่ยวหดตัวลงเหลือเพียง 0.8 ล้านล้านบาท ลดลง 72% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีประมาณ 3 ล้านล้านบาท มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 6.7 ล้านคน ขณะที่ปี 2562 มีสูงถึง 40 ล้านคน โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ แต่ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ
  5. การว่างงาน มีผู้ว่างงานกว่า 7 แสนคนตลอดช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด ซึ่งสูงขึ้นจากช่วงก่อนการแพร่ระบาดที่มีจำนวนผู้ว่างงานประมาณ 3 แสนคน
  6. ธุรกิจเลิกกิจการ โดยในปี 2563 มีถึง 20,920 ราย ทุนจดทะเบียน 91,859 ล้านบาท โดยธุรกิจที่เลิกกิจการสูงสุดคือ ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และภัตตาคาร/ร้านอาหาร
  7. โรงงานอุตสาหกรรม ในปี 2563 มีโรงงานฯ ประกอบกิจการใหม่ 2,633 โรงงาน เงินลงทุนรวม 171,054 ล้านบาท คนงาน 86,797 คน ซึ่งลดลงกว่าปีก่อนที่มีโรงงานฯประกอบกิจการใหม่ 3,175 โรงงาน เงินลงทุนรวม 301,418 ล้านบาท คนงาน 96,492 คน และมีโรงงานที่เลิกกิจการมีทั้งหมด 716 โรงงาน โดยกิจการที่มีการปิดสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์จากพืช ผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมอาหาร และผลิตภัณฑ์อโลหะ
  8. การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต การเข้ามาของโรคโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และการทำธุรกิจผ่านระบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น และเกิดการทำงานและการสื่อสารในรูปแบบใหม่ๆ อย่างการทำงานที่บ้าน (Work From Home) ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซขยายตัวสูงถึง 80% จากปีก่อนหน้า หรือมีมูลค่าประมาณ 300,000 ล้านบาท ตรงข้ามกับมูลค่าการซื้อขายผ่านหน้าร้านที่หดตัวถึง 11% ในปีเดียวกัน สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างชัดเจน รวมถึงการดูแลใส่ใจสุขภาพทั้งตัวเองและคนรอบข้าง ลดการปฏิสัมพันธ์ เว้นระยะห่างทางสังคม และใส่หน้ากากอนามัย 

จากผลกระทบที่เกิดขึ้น รัฐบาลได้ออกมาตรการการต่างๆ เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด พร้อมทั้งออกมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น โครงการคนละครึ่ง เราชนะ ม.33 เรารักกัน ยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นต้น โดยโครงการต่างๆ ช่วยกระตุ้นมูลค่าทางเศรษฐกิจ อีกทั้งได้มีมาตรการในการจัดหาวัคซีน โดยเลือกวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้า เป็นวัคซีนแรก และทางแอสตร้าเซนเนก้าเลือกประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด– 19 ซึ่งผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด โดยภายในปีนี้รัฐบาลได้เตรียมแผนการจัดหาวัคซีนจาก 3 วัคซีนหลัก คือ แอสตร้าเซนเนก้า ซิโนแวค และไฟเซอร์ รวม 127.1 ล้านโดส และหากรวมวัคซีนทางเลือกจะเท่ากับ 179.1 ล้านโดส  ตั้งเป้าหมายการฉีดให้ได้ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และเร่งการเปิดเมืองท่องเที่ยวต่างๆ และเปิดประเทศเต็มรูปแบบในระยะต่อไป คาดการณ์ว่า ในปี 2565 ไทยจะสามารถผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมกันประมาณ 260-295 ล้านโดส  เฉพาะของสยามไบโอไซเอนซ์ที่ผลิตให้แอสตร้าเซนเนก้าสามารถผลิตได้ประมาณ 185-200 ล้านโดสต่อปี โดยมีการจัดสรรวัคซีนให้กับประเทศไทย 1 ใน 3 และอีก 2 ใน 3 ถูก  ส่งมอบให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศใกล้เคียง  

“หากคนไทยได้รับการฉีดวัคซีนได้ตามเป้าคือ 70% ของประชากร หรือ 100 ล้านโดส จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งปัจจุบันคนไทยได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว 85 ล้านโดส (ข้อมูล ณ วันที่ 14 พ.ย. 2564) มีส่วนสำคัญที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมช่วยให้สังคมกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ซึ่งจะเห็นได้จากในต่างประเทศที่อัตราการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ส่งผลโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐอเมริกา อิสราเอล จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่สามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว สำหรับประเทศไทยการที่ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนได้เองและเป็นฐานการผลิตให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นกุญแจสำคัญถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกวิกฤตการณ์ในครั้งนี้เสมือนเป็นการช่วยคนไทยและประเทศใกล้เคียงให้เข้าถึงวัคซีนได้รวดเร็วและง่ายขึ้น ตลอดจนส่งผลต่อความมั่นคงด้านสุขภาพของประชาชนในระยะยาว ทั้งการลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิตทำให้มีความพร้อมสามารถรองรับโรคอุบัติใหม่ในอนาคต” ผศ.ดร.สุทธิกร กล่าว 

อย่างไรก็ตาม หากการบริหารจัดการวัคซีนเป็นไปตามแผน ภายในเดือนธันวาคม 2564 จะส่งผลให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเหลือประมาณ 2,500 คนต่อวัน ผู้เสียชีวิตลดลงเหลือประมาณ 40 คนต่อวัน และส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเพิ่มเกือบ 3 แสนคน และเกิดการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในประเทศ กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 10.38% อยู่ที่ระดับ 70.39 สูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 6.95% รวมทั้งผู้ว่างงานในระบบประกันสังคมลดลง 32.23% หรือประมาณ 4.5 แสนคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหากพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจในด้านต่างๆ อาทิ มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จะพบว่าหากการระบาดของโรคโควิด-19 ลดลงเกือบเป็นศูนย์ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1.1 ล้านคน ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 อัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 11.26% ดัชนีการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 39.29% ผู้ว่างงานในระบบประกันสังคมลดลงกว่า 70,000 คน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกับปีก่อน โดยคาดการณ์ไว้ด้วยว่าปี 2565 เศรษฐกิจจะขยายตัว 3.9% ด้วย ผศ.ดร.สุทธิกร กล่าวทิ้งท้าย


Sign in to read unlimited free articles

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

One Bangkok พัฒนากรุงเทพฯ ชูแนวคิด “The Heart of Bangkok” เมืองที่ใช้ใจสร้าง

วัน แบงค็อก พลิกโฉมวงการอสังหาฯไทย ด้วยการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ ปักหมุด “เมืองกลางใจ” หรือ The Heart of Bangkok เมืองที่ใช้ใจสร้าง พร้อมเผยประสบการณ์ชอปปิ้งและไลฟ์สไตล์ระดับโลก เตรีย...

Responsive image

Indorama Ventures ออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้าน ตอกย้ำผู้นำธุรกิจยั่งยืน

Indorama Ventures ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ประกาศความสำเร็จในการระดมทุน 1 หมื่นล้านบาท ผ่านการออกหุ้นกู้สกุลเงินบาทให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนร...

Responsive image

Jitta ก้าวสู่ปีที่ 12 เดินหน้าแก้วิกฤตการเงิน หนุนคนไทยออมและลงทุนอัตโนมัติ

Jitta เข้าสู่ปีที่ 12 เติบโตอย่างแข็งแกร่งบนเป้าหมายที่จะสร้างนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อช่วยให้คนไทยเข้าถึงการลงทุนที่ง่ายและสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า...