KKP Research ปรับประมาณการณ์ GDP ไทยสู่ 0.5% จากเดิม 1.5% ย้ำวัคซีนที่มีคุณภาพและมาตรการรัฐที่เข็มแข็งชะลอความรุนแรงของวิกฤต | Techsauce

KKP Research ปรับประมาณการณ์ GDP ไทยสู่ 0.5% จากเดิม 1.5% ย้ำวัคซีนที่มีคุณภาพและมาตรการรัฐที่เข็มแข็งชะลอความรุนแรงของวิกฤต

KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 อาจมีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าที่หลายฝ่ายประเมิน การระบาดของโควิด-19 ในรอบนี้อาจจะไม่สามารถจบได้เร็วแบบเดียวกับปีก่อน ทั้งจากไวรัสที่ระบาดเป็นสายพันธุ์ใหม่ คือ สายพันธุ์เดลต้าที่มีความสามารถในการระบาดสูงกว่าเดิมมาก ประกอบกับมาตรการล็อกดาวน์ที่เริ่มต้นช้า นโยบายจำนวนการตรวจโรคที่เป็นข้อจำกัดที่อาจทำให้เราประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความจริง และสัดส่วนของคนที่มีภูมิคุ้มมีน้อยมากจากอัตราการฉีดวัคซีนที่ทำได้ช้าและวัคซีนมีประสิทธิผลในการป้องกันต่อเชื้อเดลต้าต่ำ 

KKP Research ประเมินว่าการระบาดระลอกปัจจุบันของไทยจะต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างน้อย 3 เดือนกว่าสถานการณ์จะบรรเทาความรุนแรงลง ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจจากการบริโภคและการลงทุนที่จะลดลงในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งจะส่งผลให้การเติบโตของการบริโภคทั้งปีติดลบ และกระทบต่อการคาดการณ์ GDP ในปี 2021 จากการเติบโตที่ 1.5% เหลือเพียง 0.5% แม้ว่าการส่งออกจะสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นก็ตาม เมื่อนับรวมกับบตัวเลขการคาดการณ์ GDP ในปี 2022 ที่ 4.6% ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้รวมกับปีหน้าที่ระดับ 5.1% ไม่เพียงพอชดเชยการหดตัวของเศรษฐกิจในปี 2020 ที่หดตัวลง 6.1% และเศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลาถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ในการกลับเข้าสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด -19 

อย่างไรก็ตามในกรณีเลวร้าย หากจำเป็นต้องมีการล็อกดาวน์ที่ยาวนานกว่าสามเดือน หรือต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่มีข้อจำกัดมากขึ้น กระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายของเศรษฐกิจไทย KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะถูกกระทบเพิ่มเติมอีก -1.3% และทำให้เศรษฐกิจในปีนี้หดตัวลง 0.8% 

การแพร่ระบาดรอบปัจจุบันอาจลากยาว

จากสถิติการระบาดใหญ่ในต่างประเทศ การแพร่ระบาดหนึ่งรอบกินระยะเวลาเฉลี่ย 120-150 วัน สำหรับกรณีประเทศไทย เมื่อพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบ อาทิ ประสิทธิผลของวัคซีนที่ลดลงต่อเชื้อสายพันธุ์เดลต้า แผนการจัดหาวัคซีน และสถานการณ์ระบบสาธารณสุขในปัจจุบัน KKP Research ประเมินว่า การแพร่ระบาดอาจจะเกิดขึ้นยาวนานต่อเนื่องในอีก 6 เดือนข้างหน้า โดยแบ่งเป็น 2 กรณี

1. กรณีฐาน (Base case) มีสมมติฐานว่ามาตรการล็อกดาวน์ในระดับเท่ากับเดือนเมษายน 2020 (Oxford Stringency Index อยู่ในช่วง 60-80) เกิดขึ้นในไตรมาสสาม สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดี และสิ้นไตรมาสที่ 3 มีผู้ฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดสคิดเป็น 30% ของจำนวนประชากร ซึ่งน่าจะสามารถลดอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอัตราเสียชีวิตลงได้ในระดับหนึ่งแต่อาจไม่สามารถลดการติดเชื้อได้ เนื่องจากวัคซีนส่วนใหญ่ที่ใช้มีประสิทธิผลต่อไวรัสสายพันธุ์เดลต้าไม่ดีนัก จึงส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อ ถึงจุดสูงสุดภายในกลางไตรมาส 3 และค่อย ๆ ปรับลดลงในไตรมาส 4

2. กรณีเลวร้าย (Worse case) ภายใต้สมมติฐานว่ามาตรการล็อกดาวน์ในระดับเท่ากับเดือนเมษายน 2020 ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้ คาดว่ายอดผู้ติดเชื้อจะถึงจุดสูงสุดภายในปลายไตรมาส 3 และปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 2,000 ราย ในช่วงเดือนธันวาคม จนต้องมีการใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้น ในลักษณะเดียวกับประเทศชิลี อินเดีย และมาเลเซีย (Oxford Stringency Index มากกว่า 80) ที่อาจกระทบต่อภาคการผลิตมากขึ้น เช่น การจำกัดจำนวนคนและหรือช่วงเวลาที่สามารถเดินทางออกจากบ้าน การห้ามเดินทางออกจากบ้านที่เข้มข้นขึ้น รวมไปถึงการห้ามการทำงานยกเว้นอุตสาหกรรมที่จำเป็น เป็นต้น

แผนวัคซีนที่ล่าช้าและไม่แน่นอน เพิ่มต้นทุนต่อเศรษฐกิจจากการล็อกดาวน์เพิ่มเติม

ปัจจุบันมีคนไทยได้รับวัคซีนครบสองโดสแล้วเพียง 3.5 ล้านคน หรือคิดเพียง 5% ของประชากร และเกือบทั้งหมดได้รับวัคซีน Sinovac (3.3 ล้านคน) ที่มีงานวิจัยพบว่ามีประสิทธิผลจำกัดต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้า และมีแนวโน้มที่ภูมิคุ้มกันลดลงเรื่อย ๆ ความไม่แน่นอนในการจัดหาวัคซีนกำลังสร้างความเสี่ยงต่อสร้างภูมิคุ้มกันโดยรวม KKP Research คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ เพียง 35% ของประชากรจะได้รับวัคซีนครบสองโดส

การฉีดวัคซีนที่ล่าช้าเพิ่มต้นทุนทางเศรษฐกิจผ่านการปิดเมืองเพิ่มเติม จากการศึกษาของกลุ่มประเทศ OECD พบว่าการมีสัดส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนแล้วครบ 2 โดส สามารถลดการแพร่ระบาดได้เทียบเท่ามาตรการล็อกดาวน์บางมาตการ เช่น หาก 7% ของประชากรได้รับฉีดวัคซีนครบสองโดสจะลดโอกาสการแพร่ระบาดเฉลี่ยได้เทียบเท่ามาตรการปิดโรงเรียน คำสั่งห้ามออกนอกเคหะสถาน หรือการห้ามเดินทางระหว่างประเทศ แต่ถ้าหากมีประชากรได้รับวัคซีนครบสองโดสในระดับมากกว่า 13% ของประชากร ก็จะสามารถลดการแพร่ระบาดได้ผลเทียบเท่ามาตรการปิดสถานที่ทำงาน สำหรับประเทศไทยที่สัดส่วนประชากรที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วยังอยู่ในระดับต่ำมาก ทางออกที่เหลืออยู่จึงเป็นมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นการเพิ่มต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

ล็อกดาวน์ต้องทำอย่างเป็นระบบ เพราะประสิทธิผลอยู่ได้ไม่เกิน 2 เดือน 

ไทยปิดเมืองมากไปปีที่แล้วและช้าไปในปีนี้ ในการระบาดรอบแรกเมื่อปีที่แล้ว ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่อยู่ในระดับต่ำ (ยอดผู้ติดเชื้อต่อวันสูงสุดเพียง 188 คน) แต่ไทยเลือกที่จะใช้มาตรการอย่างเข้มงวดในการปิดเมืองทั่วประเทศซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ในขณะที่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อที่รักษาตัวในโรงพยาบาล (Active case) สูงขึ้นมาก แต่มาตรการกลับมีความผ่อนคลายค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับการระบาดครั้งก่อน จนทำให้สถานการณ์เกิดการระบาดอย่างรุนแรง 

งานศึกษามหาวิทยาลัย Harvard ใน 152 ประเทศชี้ว่ามาตรการล็อกดาวน์ มีข้อจำกัดสำคัญ คือ ผลของมาตรการจะมีประสิทธิผลสูงสุดไม่เกินช่วง 2 เดือนแรก โดยหลังจากบังคับใช้มาตรการผ่านไป 60 วัน ผลที่ได้จะไม่ดีมาก เนื่องจากความร่วมมือต่อมาตรการจะลดลงอย่างมาก (lockdown fatigue) ด้วยข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจและสังคมทำให้การล็อกดาวน์ให้ประสบผลสำเร็จจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องแข่งกับเวลา และในขณะเดียวกันถึงแม้จะมีการล็อกดาวน์ที่เข้มข้น แต่สิ่งสำคัญต้องทำควบคู่กันไปด้วยเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายได้เร็วยิ่งขึ้น คือ 1) เร่งเพิ่มศักยภาพในการตรวจหาเชื้อ เช่น การแจกหรือการอุดหนุน rapid antigen test และ facility สำหรับ home isolation 2) จัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิผลสูงต่อสายพันธุ์เดลต้า

KKP Research ประเมินว่าหากมาตรการที่ไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ มีความเป็นไปได้ที่ต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้น เช่น มาตรการปิดสถานที่ทำงาน แต่มาตรการเหล่านี้ต้องมีการวางแผนและประสานงานเพื่อลดผลกระทบ และความสับสน และทำให้บังคับใช้มาตรการได้อย่างมีประสิทธิผลมากที่สุด

นโยบายรัฐต้องเพียงพอและลดความไม่แน่นอน

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทรมองว่ามีหลายมาตรการที่รัฐบาลควรเร่งปรับปรุงนโยบาย และออกมาตรการเพื่อควบคุมสถานการณ์ ลดผลกระทบ ได้แก่

  • ควรมีการประเมินสถานการณ์และสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา เพื่ออธิบายถึงสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา และขอความร่วมมือจากประชาชนอย่างชัดเจน
  • ควรจัดทำแผนมาตรการล็อกดาวน์ที่มองไปข้างหน้า สอดคล้องกับสถานการณ์ และสมเหตุสมผล และสื่อสารแผนการบังคับใช้และผ่อนคลายไว้ล่วงหน้า 
  • เร่งเพิ่มศักยภาพในการตรวจหาโรค การสอบสวนโรค การแยกผู้ป่วย และการรักษา และปรับปรุงนโยบายที่เป็นอุปสรรคต่อศักยภาพในการตรวจโรค 
  • เร่งจัดหาวัคซีน mRNA ที่หลักฐานสนับสนุนในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลต้าให้เร็วที่สุด เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันของประชาชน
  • จัดเตรียมนโยบายเยียวยาประชาชนและธุรกิจที่เหมาะสมต่อระดับและระยะเวลามาตรการล็อกดาวน์ เพื่อสนับสนุนให้มาตรการใช้ได้ผลจริง ลดผลกระทบต่อประชาชน และป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นถาวรทางเศรษฐกิจ และรักษาเศรษฐกิจให้สามารถฟื้นตัวกลับมาได้โดยเร็วเมื่อสถานการณ์การระบาดปรับตัวดีขึ้น
  • แม้ระดับหนี้สาธารณะมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น แต่ด้วยอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงทำให้รายจ่ายดอกเบี้ยเป็นภาระต่องบประมาณน้อยลง เราเชื่อว่าประเทศยังมีศักยภาพในการสร้างหนี้เพิ่มหากมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและประชาชน โดยจำเป็นต้องมีแผนในการลดการขาดดุลในอนาคต และต้องจัดลำดับความสำคัญของการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพที่สุด
  • นโยบายการคลังและนโยบายการเงินควรต้องมีการประสานงานและมีบทบาทมากขึ้น เพื่อจัดหามาตรการเพื่อแก้ปัญหาการหยุดชะงักของเศรษฐกิจ กระแสเงินสด และความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจ และรักษาการทำงานของภาคการเงิน และเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศ

ในประเด็นเหล่านี้ KKP Research จะได้ทำการศึกษาและเสนอแนะนโยบายต่อไป

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่: KKP Research


Sign in to read unlimited free articles

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Jensen Huang ตอบประเด็นอนาคต AI ยังไงต่อ ? ในงาน GTC 2024

บทความนี้ Techsauce ชวนมาฟังความเห็นของ CEO บริษัทชิปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เกี่ยวกับอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ในงาน GTC 2024...

Responsive image

SpaceVIP จัดทริปกินมื้อหรูระดับมิชลินบนอวกาศ สนนราคาต่อหัว 17.8 ล้านบาท

โอกาสสำหรับการทานอาหารสุดหรูบนอวกาศมาถึงแล้ว SpaceVIP เตรียมเปิดประสบการณ์การทานอาหารจากเชฟระดับ Michelin Star ที่ความสูงกว่า 100,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเลในการผจญภัยบนขอบอวกาศ โอกา...

Responsive image

Rare Beauty จะเปลี่ยนเจ้าของ? แหล่งข่าวชี้ Selena Gomez เตรียมขายแบรนด์

Rare Beauty จะเปลี่ยนเจ้าของ? ข่าวจาก Bloomberg ออกมาว่าตอนนี้ Selena Gomez ได้เริ่มดำเนินการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการลงทุนเพื่อประเมินมูลค่าแบรนด์แล้ว...