จากกระแสของ Digital Disruption ได้ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์และยกระดับเศรษฐกิจ รวมถึงนวัตกรรมที่คนทั่วโลกให้ความสนใจอย่าง ‘Digital Assets หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล’ ที่สามารถแลกเปลี่ยนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านเทคโนโลยี Blockchain ที่นักลงทุนเปลี่ยนการลงทุนแบบเดิม ตลอดจนนักลงทุนหน้าใหม่บางรายที่อยากเสริมความมั่งคั่งด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลสู่ความร่ำรวย ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลคือทางเลือกใหม่ในการลงทุนนอกเหนือจากการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือแม้กระทั่งการซื้อสลากต่างๆ เพื่อรอลุ้นรางวัลในรูปแบบเดิม
โดยกลุ่มบริษัท Bitkub ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ที่ปรึกษาเพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain เข้ากับองค์กรหรือธุรกิจ และให้บริการด้านการศึกษาเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยี Blockchain สำหรับผู้ที่สนใจ ได้จัดงาน "Digital Assets Navigator เจาะลึกวงในทิศทางสินทรัพย์ดิจิทัล by Bitkub's Crypto Theses" ภายในงานเป็นการเสวนา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เจาะลึกวงในกระแสโลก Cryptocurrency และประวัติศาสตร์โลกของ Bitcoin ETF และ Bitcoin Halving รวมถึง Networking ของผู้คนที่ให้ความสนใจคริปโตใน Community เดียวกัน
สำหรับการเสวนาหัวข้อที่ 1 จะเป็นการพูดถึงและเจาะลึกวงใน ของกระแสโลกคริปโตอัปเดทเทรนด์ของสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ คุณณัฏฐ์ จิตตมัย ผู้ก่อตั้ง GM Learning Club Pudgy Thailand Community Leader คุณภาณุ ชลหาญ เจ้าของเพจ Nookfree God Defi และ คุณกันตณัฐ วุฒิธร Senior Digital Asset Analyst บริษัท บิทคับ แล็ปส์ จำกัด
โดยภาพรวมของการแข่งขันที่น่าสนใจของวงการสินทรัพย์ดิจิทัล อย่าง NFT ในปี 2023 นั้นถือว่าค่อนข้างดี แต่ในปี 2024 จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้น บริษัทไหนที่สามารถอยู่รอดได้ จะถือว่าเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง เพราะการพัฒนาของวงการ NFT จากโปรเจคสู่บริษัทที่มีงบกำไร–ขาดทุน และมีสินทรัพย์ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนจะทำให้คนที่อยู่ มีที่ยืนอยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมนี้
นอกจากนี้ DeFi (Decentralized Finance) ที่หลายคนคุ้นเคย ก็อาจจะได้เห็นธนาคารสาขาที่ปรับตัวเข้าไปอยู่ใน Web3 กันมากขึ้น โดยปีนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น ธนาคารจะปรับตัวและมองเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก มีอะไรตรวจสอบได้บ้าง โดยในปัจจุบันได้มีการพัฒนาและทำได้อย่างรวดเร็ว ตรวจสอบได้บน Web3 เพราะ Transaction บน DeFi สามารถตรวจสอบได้ทุกรายการ ปลอดภัยและรองรับได้มากขึ้น เป็นความเติบโตที่ชัดเจนในอนาคต
ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปในยุค 2020 ที่ DeFi เริ่มบูมและเติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านมา 4 ปี ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เปรียบเสมือน Digital Banking ที่ต้องการให้มีกระแสเงินเข้าไปมากขึ้น มีการแข่งขันในการดึงเงินเข้าไปในระบบให้มากที่สุด ทำให้ธุรกิจต่างๆ มีโมเดลธุรกิจแบบนี้เพิ่มมากขึ้น และพยายามแก้ปัญหาต่างๆมากขึ้น เหรียญ DeFi ถูกนำมาใช้มากขึ้น และกลายเป็นต้นแบบของ DeFi ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการ Lending หรือ Borrowing ผนวกกับมีการเล่นกับ Yield ที่มากขึ้น พัฒนามากขึ้น ทำให้คนรู้จักและสนใจมากขึ้น การแข่งขันสูงขึ้น ผู้ใช้งานจะได้รับประโยชน์สูงสุด เป็นภาพรวมของ DeFi และ NFT ในอนาคตเราจะเห็นผลิตภัณฑ์เหล่านี้มากขึ้น
อีกทั้ง DeFI ที่เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการ Staking Crypto รูปแบบการตรวจสอบธุรกรรมรูปแบบหนึ่งในโลกของ Cryptocurrency เรียกง่ายๆ ว่าคือ ‘วิธีการตรวจสอบธุรกรรมโดยการวางเงินค้ำประกัน’ การลงทุนแบบ Staking จะเป็นวิธีลงทุนที่ดีที่สุด ที่จะทำเงินได้ง่ายๆ ในระยะเวลาอันสั้น กับสภาพตลาดแบบนี้ เพราะเป็นเพียงการใช้เหรียญในมือและระบบทำเงินให้ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในกลไกลของระบบ ซึ่งในอนาคตผลิตภัณฑ์ใหม่จะขยายวงการมากขึ้น เช่น อสังหาริมทรัพย์ เกม หรือว่าการท่องเที่ยว ที่จะเกิดการอำนวยความสะดวกของ Infrastructure ให้แข็งแกร่งขึ้น ใน Community ของ Crypto บน Web3
ในหัวข้อการเสวนาที่ 2 นำโดย คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ปส์ โฮลดิ้งส์ จำกัด คุณณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ CEO & Co-founder บริษัท อุ๊คบี จำกัด และ ผู้จัดการ กองทุน 500 TukTuks และ คุณโดม เจริญยศ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โทเคไนน์ จำกัด (Tokenine) จะพูดถึงปีแห่งประวัติศาสตร์โลกกับ Bitcoin ETF และ Bitcoin Halving ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
สืบเนื่องจากมติของ ก.ล.ต. สหรัฐ ที่อนุมัติให้จัดตั้ง 11 กองทุน Spot Bitcoin ETFs ได้ส่งผลสำคัญต่อทิศทางวงการ Cryptocurrency ทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงการลงทุนผ่าน Bitcoin ได้สะดวกและง่ายขึ้นและยังเป็นเหมือนการยืนยันสถานะของ Bitcoin ให้กลายเป็น ‘The First International Digital Commoditiy’ ที่เป็นที่ยอมรับ และกำลังจะเข้าถึงคนส่วนใหญ่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก เกิดการเข้ามาของเงินทุนสถาบันที่จะส่งผลให้เป็นเวฟใหม่ของของวงการที่ตามสถิติแล้วจะมาถึงทุก 4 ปี กับปรากฎการณ์ ‘Bitcoin Halving’ ที่จะทวีความคึกคักมากกว่าที่เคยเป็นมา เพราะตลอด 10 ปีที่ผ่านมา วงการ Cryptocurrency ถูกขับเคลื่อนแค่เพียงเม็ดเงินจากนักลงทุนรายย่อยแทบทั้งหมดด้วยเม็ดเงินเพียงแค่ 1.8 Trillion USD น้อยกว่าบริษัทเทคฯยักษ์ใหญ่อย่าง Apple
หลังการอนุมัติกองทุน Spot Bitcoin ETFs ทำให้ Bitcoin มีอิทธิพลในวงการมากขึ้น จะทำให้มีเงินทุนสถาบันจำนวนมหาศาล อีกทั้งนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่เดิมที่มีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ก็มีโอกาสลงทุนในง่ายมากขึ้น คล้ายกับยุคที่อนุมัติกองทุน ETF ทองคำเป็นครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อน หลังจากนี้จะยังมีกองทุนใหม่เพิ่มขึ้นจาก 11 กองทุนเดิมที่ได้รับอนุญาต รวมถึงกลุ่มกองทุนเดิม 11 แห่งก็จะต้องการปริมาณการซื้อที่เพิ่มขึ้นด้วย เพื่อแข่งขันให้รองรับความต้องการของนักลงทุนสถาบันที่น่าจะเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้การมาของ Spot Bitcoin ETFs จะทำให้เราได้เห็นผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ของ Bitcoin และจะทำให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ที่เป็นสถาบันการเงินเก่าเข้ามาเป็น Infrastructure Providers ในการเข้ามาทำแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือจะเปิดเป็น Crypto Private Fund เพื่อการลงทุน หรือแม้แต่เข้ามาทำ Custodian Solutions เพื่อรับฝากเหรียญของลูกค้าเหมือนการฝากเงินธนาคาร รวมถึงการเข้ามามีบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแลมากยิ่งขึ้น หากวงการ Cryptocurrency มีขนาดใหญ่ขึ้น
และปรากฎการณ์ Bitcoin Halving หรือการที่รางวัลจากการขุด Bitcoin ลดลงครึ่งหนึ่งเพื่อยื้อให้ปริมาณของ Bitcoin Supply ถูกจำกัดลงซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2024 นี้ เครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ใช้ระบบที่เรียกว่า Proof-of-Work ในการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมและทำให้ผู้ใช้ในเครือข่ายยอมรับความถูกต้องของธุรกรรมนั้น ๆ แลกกับสิทธิ์ในการรับรองธุรกรรมและเพิ่มข้อมูลชุดใหม่หรือที่เรียกว่าการเพิ่มบล็อกใหม่ และเมื่อมีผู้ใช้ที่สามารถขุดได้เป็นคนแรก จะสามารถเซ็นรับรองธุรกรรมและเพิ่มธุรกรรมชุดนั้นลงไปในบล็อกใหม่ จากนั้นผู้ใช้คนอื่นก็จะเข้ามาช่วยเซ็นรับรองธุรกรรมนั้นอีกที ผู้ที่สามารถแก้ไขสมการได้เป็นคนแรกก็จะได้รับรางวัลเป็น Bitcoin เหรียญใหม่ที่ยังไม่ออกมาในระบบ เป็น 'รางวัลจากการขุด' นั่นเอง
แต่รางวัลจากการขุด Bitcoin ที่ลดลงทุกๆ 4 ปี หมายความว่า อุปทาน (Supply) ของ Bitcoin ที่ค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว จะยิ่งจำกัดลงไปอีก ในขณะที่อุปสงค์ (Demand) ใน Bitcoin กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากข่าวที่บริษัทต่างๆ พากันเข้าซื้อ Bitcoin ไม่ว่าจะเป็น Tesla, MicroStrategy, Square รวมถึงธนาคารระดับโลกที่เริ่มสนใจ Bitcoin เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Goldman Sach, หรือ Morgan Stanley เป็นต้น
ซึ่งตลาด Bitcoin มีความผันผวนสูงมาก การอนุมัติ ETF นี้มีข้อดีคือช่วยให้นักลงทุนที่ไม่ชำนาญทางเทคนิคในระบบการซื้อขายสามารถเข้ามาลงทุนได้สะดวกขึ้น แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในตัวสินทรัพย์ที่ลงทุนด้วย ไม่แนะนำให้เข้ามาลงทุนตามกระแส เพราะมีความเสี่ยงสูงมาก ควรเรียนรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่จะลงทุนทุกครั้ง ซึ่งการเสวนาครั้งนี้เป็นเพียงความรู้ ความคิดเห็นและการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญรวมถึงข้อมูลในอดีต ไม่สามารถรับรองถึงราคา Bitcoinที่จะปรับขึ้นอีกหลัง Bitcoin Halving ครั้งต่อไป
“เราอยากให้ทุกคนกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ขอยกคำพูดของ Warren Buffet ว่าการลงทุนเหมือนการสวิงไม้เบสบอล ไม่มีใครบังคับให้คุณสวิงทุกลูกที่เข้ามา เลือกเพียงลูกที่เข้ามาใน circle of competence ก็พอในจังหวะที่เราพร้อม…” คุณจิรายุส กล่าวทิ้งท้าย
คำเตือน :
บทความนี้เป็น Advertorial
Sign in to read unlimited free articles