:วางนโยบาย International Beauty & Health Business ยกระดับให้เป็นแบรนด์ด้านความงามและสุขภาพเทียบชั้นสากลที่เป็นผู้นำของภูมิภาคเอเชีย : ตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 20% พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 25% ภายในปีนี้ โดยมี 6 กลยุทธ์หลักเกื้อหนุน : บริษัทจะมีสถานะเป็น export base company มากขึ้น ที่จะมีส่วนผลักดันยอดขายจากต่างประเทศให้ขยายเป็น 50% ของรายได้รวมภายในปี 2565 : ระยะยาวเดินหน้าสร้างยอดขาย 7 พันล้านบาท และ 1 หมื่นล้านบาทภายในปี 2563 และปี 2565 : วางรากฐานกลยุทธ์ O2O เพื่อปูทางสู่การเป็น Omni Channel ภายในปีหน้า ให้เป็นส่วนหนึ่งซึ่งจะดันให้ยอดขายจากฝั่ง Online เติบโตกว่า 30% ต่อปี และจะทำให้บริษัทมีอัตราส่วนรายได้จาก Online ไม่น้อยกว่า 10%
BEAUTY ยกระดับแบรนด์เครื่องสำอางและสุขภาพของไทยให้สามารถเทียบชั้นระดับสากลผ่านช่องทางจำหน่ายทั้ง Offline และ Online กรุยทางด้วย O2O ก่อนมุ่งสู่ Omni Channel ภายในปีหน้าเพื่อเป็นส่วนหนึ่งซึ่งจะดันรายได้ Online เติบโตกว่า 30% ต่อปี โดยในปีนี้วางเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 20% พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 25% ซึ่งมี 6 กลยุทธ์หลักเกื้อหนุน ที่สุดท้ายแล้วจะมีฐานรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของยอดขายรวม พร้อมวางแผนส่งความสวยถึงมือสาวจีนด้วยช่องทางออนไลน์ในแบบ Cross Border e-Commerce
บมจ. บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY ก่อตั้งโดย นพ.สุวิน ไกรภูเบศ (ผู้ถือหุ้นใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) และ ธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ (กรรมการบริษัท) สองสามีภรรยาผู้เคยหาเลี้ยงชีพในแวดวงการแพทย์ ก่อนที่จะมองหาโอกาสแห่งการเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจค้าเครื่องสำอางในนามของบริษัท โมนาโพลิแตนท์ จำกัด ก่อนจะเปลี่ยนชื่อในเวลาต่อมา
ทั้งสองจับมือกันฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อฝืดเคือง หรือแม้แต่คู่แข่งจากต่างชาติที่พร้อมทั้งชื่อเสียงและกำลังทุนมาชิงส่วนแบ่งตลาดเครื่องสำอางในไทย แต่ด้วยการไม่ยอมแพ้และปรับกระบวนยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ จึงสามามรถยืนหยัดสร้างให้กิจการที่เคยเป็นเพียงร้านเครื่องสำอางเล็ก ๆ ในอดีตกลายเป็นกิจการมหาชนที่ทำรายได้กว่า 3.5 พันล้านเมื่อปีที่ผ่านมา
จนปัจจุบัน บมจ. บิวตี้ ฯ ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิวภายใต้แบรนด์ บิวตี้ บุฟเฟต์ (BEAUTY BUFFET) บิวตี้ คอทเทจ (BEAUTY COTTAGE) เมด อิน เนเจอร์ (MADE IN NATURE) และ บิวตี้ มาร์เก็ต ( BEAUTY MARKET )
สำหรับแนวทางดำเนินธุรกิจในปีนี้จากคำบอกเล่าของ ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บิวตี้ คอมมูนิตี้ จะเน้นนโยบาย International Beauty & Health Business เพื่อยกระดับสู่การเป็นแบรนด์ด้านความงามและสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเน้นสร้าง BEAUTY BUFFET ให้เป็นแบรนด์ระดับภูมิภาคภายในปี 2563 ตลอดจนเดินหน้าสร้างยอดขาย 7 พันล้านบาทในปีดังกล่าว และขึ้นไปถึง 1 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ขณะที่ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 20% พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 25%
ในส่วนของผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพแม้ว่า บมจ. บิวตี้ ฯ จะทำมาตั้งแต่ปี 2558 แล้วแต่ยังไม่ได้จัดเป็น SKUs ที่ชัดเจนของบริษัท กระทั่งปีนี้จึงเริ่มมีพวกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเข้ามา และยังมีผลิตภัณฑ์ที่เน้นดูแลสุขภาพเฉพาะจุดมากขึ้่น เช่น บำรุงเล็บ อุปกรณ์เทคโนโลยีที่ช่วยผลักดันวิตามินเข้าสู่ผิว เป็นต้น โดยคาดว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพจะครองส่วนแบ่งรายได้ระหว่าง 3-4% ของยอดขายรวม
โดย ดร.พีระพงษ์ ขยายความเพิ่มเติมว่า แม้ตลาดในประเทศของเราค่อนข้างแข็งแรงได้ดี แต่หากต้องการให้ยอดขายเติบโตอีก 20 - 30% ได้นั้นจำเป็นต้องเพิ่มตลาดใหม่ เช่น ตลาดต่างประเทศ ที่มีอัตราการเติบโตสูง ที่จะทำให้เรากลายเป็น export base company มากขึ้น
อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วบริษัทมีรายได้จากฝั่งต่างประเทศอยู่ที่ราว 30% แต่เพื่อให้การเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายจึงจำต้องเพิ่มอัตราส่วนรายได้ระหว่างในและต่างประเทศให้อยู่ที่ 50:50 ภายในปี 2565
ปีที่แล้วนับเป็นการเปิดศักราชที่จะทำ international อย่างเต็มที่
ด้วยโจทย์ที่ท้าทายสำหรับบมจ. บิวตี้ คอมมูนิตี้ ที่จะต้องพิชิตให้ได้นั้น ดร.พีระพงษ์ เล่าว่าบริษัทได้วางกลยุทธ์ไว้ 6 ด้านเพื่อเป็นเส้นทางให้สามารถขับเคลื่อนสู่เส้นชัย
เริ่มจากกลยุทธ์แรกที่จะขยายตลาดต่างประเทศแบบเชิงรุกจำนวน 15 ประเทศภายในปีนี้และคาดว่าจะเพิ่มเติมอีกเป็น 18 ประเทศในที่สุด โดยปัจจุบันมีแล้วถึง 11 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน สิงคโปร์ เมียนมา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฮ่องกง สปป.ลาว จีน อินเดีย โดยจะเน้นการทำการตลาดร่วมกันและเพิ่มจำนวน SKUs สินค้า ส่วนอีก 4 ประเทศที่เป็นเป้าหมายในปี 2562 ที่มีแผนจะขยายตลาด คือ รัสเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บรูไน และ แคนาดา ในรูปแบบของตัวแทนจำหน่าย Product Distributor Shop License Shop in Shop หรือ Counter sales
distributor ที่กระจายอยู่ตามประเทศต่าง ๆ จะเป็นกลไกที่ช่วยสร้างยอดขายขึ้นมา
รวมทั้งยังเน้นรุกตลาดประเทศจีนซึ่งถือว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่มีโอกาสทางธุรกิจสูง โดยมีแผนกระจายสินค้าผ่านช่องทาง Cross Border e-Commerce (CBEC) อย่างต่อเนื่องซึ่งช่องทางนี้ถือเป็นโอกาสใหม่สำหรับการค้า Online ในจีนที่รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเครื่องสำอางโดยผู้ค้าทาง Online จะได้รับสิทธิส่วนลดทางภาษีในอัตราพิเศษ
หลังจากที่บริษัทมีสินค้าวางจำหน่ายแล้วจำนวน 7 Platforms แล้วในปี 2561 สำหรับในปีนี้มีแผนเจรจาเพิ่มจำนวน Platform อีก 2 รายและยังขยายจำนวน SKUs สินค้าเข้าจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ภายในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาบริษัทเริ่มส่งสินค้าเข้าจำหน่ายช่องทางตลาดหลัก (General Trade) ที่ประกอบด้วยช่องทาง Offline และ Online ในตลาดทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Mainland China)
สำหรับตลาดการขายสินค้าหลักของจีนมีทั้งที่เป็นช่องทาง Offline เช่น Traditional Trade Convenience Store Modern Trade ต่าง ๆ และช่องทาง Online ที่เป็น website e-commerce ต่าง ๆ ที่จัดจำหน่ายสินค้าในประเทศจีน
กลยุทธ์ต่อมาคือพัฒนาช่องทางร้านค้าปลีกที่เข้มแข็ง (Retail Business Models) ด้วยศักยภาพที่บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 340 สาขา จะพัฒนาปรับปรุงและสร้างความเข้มแข็งให้ช่องทางร้านค้าปลีก โดยจะมีการพัฒนาการบริหารร้านค้าปลีก เปิดสาขาใหม่ 15 สาขา เน้นการทำการตลาดได้ด้วยตัวร้านค้าปลีกเอง (Local Store Marketing) สร้างโมเดลการขายสินค้าที่เป็นสินค้า Multi Brand เข้ามาจำหน่ายในร้าน Beauty Buffet สร้างร้านต้นแบบใหม่เพื่อจำหน่ายสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ครอบคลุม
ด้วยกลุ่มสินค้าอุปโภคเติบโตต่อเนื่อง (Consumer Product) จึงต้องเน้นกลยุทธ์ที่เพิ่มประสิทธิภาพในช่องทางการจำหน่ายเดิมโดยเน้นการเพิ่มจำนวน SKUs สินค้าและทำการตลาดรวมกับห้างพร้อมกับเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ ๆ ที่มีโอกาสเติบโตสูงและเข้าถึงกลุ่มลูกค้า
ในส่วนกลยุทธ์ด้านช่องทาง e-Commerce นั้น ดร.พีระพงษ์ย้ำว่า เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง จึงต้องพัฒนาและบริหารจัดการโครงสร้างระบบ e-Commerce ให้มีประสิทธิภาพ วางเป้าหมายรุกตลาด Online ด้วยกลยุทธ์ O2O และพันธมิตร รวมถึงพัฒนาระบบรองรับพฤติกรรมการจับจ่ายผ่านมือถือของบริษัทเอง ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยผลักดันให้บริษัทมีรายได้เติบโตก้าวกระโดด
ขณะที่ใช้กลยุทธ์การขายโดยใช้สินค้าขับเคลื่อน (Product Driven) ช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตโดยการสร้าง Product Heros หรือที่บริษัทเรียกว่า M100 (ผลิตภัณฑ์ที่มีเป้าหมายยอดขายสูงถึง 100 ล้านชิ้นขึ้นไป) ที่ปัจจุบันยังมีไม่ถึง 10 ตัว เช่น แป้งพัฟ ลิปสติกบางตัว เป็นต้น ที่มีกระแสดึงดูดลูกค้าทั้งสินค้าเดิมที่มีอยู่แล้วและสินค้าใหม่ เน้นสินค้าที่เป็น Innovation ตามกระแสแฟชั่น ด้วยไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ท้ายสุดคือ กลยุทธ์การตลาดแบบ O2O การเชื่อมสื่อ Online ทุกแพลตฟอร์ม นำเสนอ Influencers ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงพนักงานทุกระดับ เพื่อสร้าง Engagement กับลูกค้าวงกว้างและเป็นพลังในการสร้างยอดขายให้แก่ช่องทาง Offline และ Online ร่วมกับการพัฒนาการตลาดระดับภูมิภาค ตลอดจนสร้างตลาดต่างประเทศไปพร้อมกัน นั่นคือแนวทางของบริษัทจะไม่ได้เน้นเรื่อง brand awareness เป็นหลักแต่เน้นการสื่อสารที่ต้องสามารถดึงลูกค้าเข้ามายังแต่ละช่องทางจัดจำหน่าย ทำให้ไม่ต้องใช้งบประมาณสูง
ไม่เพียงเท่านั้นยังจะเพิ่มช่องทาง home shopping ที่จัดอยู่ภายใต้ช่องทาง non-retail ที่คาดว่าจะเริ่มมีตัวเลขยอดภายในไตรมาสนี้
สำหรับผลกระทบจากวิวัฒนาการด้าน Digital ต่อธุรกิจเครื่องสำอางนั้น ดร.พีระพงษ์ มองว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องแคมเปญการตลาด เพราะมีแนวโน้มชัดเจนว่าผู้บริโภคให้ความสนใจกับสื่อหรือข้อความที่นำเสนอผ่านช่องทาง tradition น้อยลงมาก ทำให้บริษัทยยึดแนวทางสื่อสารการตลาดแบบ O2O (Online to Offline และ Offline to Online) จึงทำให้เป็นผู้นำในการทำกลยุทธ์นี้มาตั้งแต่เมื่อ 4-5 ปีก่อนแล้ว
แต่เป้าหมายระยะต่อไปคือต้องการเป็น Omni Channel หรือให้ลูกค้าสามารถจับจ่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้ทุกช่องทางอย่างแท้จริงโดยข้ามผ่านทุกแพลตฟอร์ม แต่ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ขั้นตอนของการเป็น Click & Collect ที่จะเสร็จเรียบร้อยภายในปีนี้ เพื่อที่จะเดินหน้าสู่ Omni Channel ภายในปีหน้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะเกื้อหนุนให้สามารถขยายยอดขายในส่วน Online ให้เติบโตกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากทั้งการเพิ่มช่องทางจำหน่ายและผลิตภัณฑ์ควบคู่กันไป และจะทำให้บริษัทมีอัตราส่วนรายได้จาก Online ไม่น้อยกว่า 10%
(Omni Channel คือ การติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลายช่องทาง การเชื่อมโยงช่องทางต่าง ๆ รวมให้เป็นหนึ่งเดียว โดยผสมผสานช่องทางการสื่อสารเหล่านั้นทั้ง Online และการขายหน้าร้าน หรือ Offline เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าอย่างชาญฉลาดและไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นระบบ CRM ยุคเศรษฐกิจและสังคม 4.0)
ตอนนี้ยังไม่เป็น Omni Channel แต่หวังว่าสักวันจะไปแนวนี้
ขณะที่ในส่วนผลกระทบต่อช่องทางจำหน่ายแม้จะมีบ้างแต่ยังไม่มากนัก จึงเป็นเหตุผลที่บริษัทต้องลงทุนและพัฒนาช่องทาง e-commerce เพื่อให้ลูกค้าสะดวกสบายในการซื้อสินค้ามากขึ้น แต่โดยส่วนตัวแล้วมองว่ายังไม่ถึงดีกรีของ Digital Disruption เพราะฐานลูกค้าส่วนใหญ่ก็ยังชื่นชอบที่ได้ไปเลือกชมสินค้าและได้ทดลองใช้ที่ร้านมากกว่า
ด้วยตลาดเมืองจีนเป็นหนึ่งในฐานธุรกิจที่บมจ. บิวตี้ฯ ให้ความสำคัญ เพราะเป็นตลาดขนาดใหญ่มีโอกาสทางธุรกิจสูง โดยมีแผนกระจายสินค้าผ่านช่องทาง CBEC หรือ Cross Border e-commerce อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่องทางนี้ถือเป็นโอกาสใหม่สำหรับการค้า Online ในจีนที่รัฐบาลจีนมีมาตรการสนับสนุนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเครื่องสำอางโดยผู้ค้า Online จะได้รับสิทธิส่วนลดทางภาษีในอัตราพิเศษ
สำหรับในปีที่ผ่านมานั้น บริษัทมีสินค้าวางจำหน่ายแล้วจำนวน 8 Platforms อาทิ TMALL JD Kaola VIP YUNJI Little Redbook Beidiam และ Jumei โดยคาดการณ์ว่า ปี 2562 จะมีอัตราการเติบโตสำหรับช่องทางการจำหน่าย CBEC มากกว่า 100% และในปีนี้มีแผนเจรจาเพิ่มจำนวน Platform อีก 2 รายและยังขยายจำนวน SKUs สินค้าเข้าจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ในส่วนของ Offline นั้น ล่าสุด ทาง บมจ. บิวตี้ ฯ ได้เซ็นสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย 2 รายในประเทศจีน เพื่อจำหน่าย สินค้า Scentio Milk Plus Whitening Q10 Facial Foam เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคจีนมากที่สุด และมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านช่องทางตลาดหลัก General Trade แต่เพียงผู้เดียวในประเทศจีน (Mainland China) ระยะเวลาสัญญา 3 ปี (2562-2564) มูลค่า 4.5 พันล้านบาท และสินค้ามาส์คหน้า T-BEAUTY แบรนด์ Beauty Buffet แต่เพียงผู้เดียว โดยผ่านช่องทางช่องทาง Online และ Offline ในจีน
สำหรับในช่วงต่อจากนี้บริษัทจะทำงานร่วมกันกับตัวแทนจำหน่ายทั้งด้านกลยุทธ์การตลาด โปรโมชั่น เชื่อมโยงทุกเครื่องมือการตลาดเข้าหากัน ชูจุดเด่นคุณภาพและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดขายและสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง
ยอดขายผ่าน Online จะมีเพียง 20 - 30% ของตลาดรวมเท่านั้น ทำให้ต้องตีคู่ไปกับตลาด Offline
อย่างไรก็ตาม อินเดียก็เป็นอีกตลาดต่างประเทศที่บริษัทมีความต้องการที่จะไปเปิดตลาดมากขึ้น แม้ว่าจะมี shipment แรกไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาหลังทำงานก่อนหน้านี้มาเกือบ 1 ปีแล้ว ขณะที่รัสเซียก็เป็นตลาดที่บมจ. บิวตี้ฯ มุ่งจะเจาะฐานลูกค้าให้ได้ โดยมีเป้าหมายคือต้องการเจาะกลุ่มชุมชนคนจีนและเอเชียในแต่ละประเทศทั่วโลก ตัวอย่างเช่นมีแผนจะเปิด flagship store ใน London
ด้วยแนวทางธุรกิจที่ใช้ร้านเป็นเครื่องมือในการสร้าง brand image มากกว่าที่จะใช้โฆษณาที่เป็นสื่อวงกว้าง ล่าสุดจึงมีการปรับรูปแบบร้านที่นอกจากมีการออกแบบหน้าตาร้านใหม่แล้ว ในส่วนของร้าน BEAUTY BUFFET ยังมีการปรับปรุงในส่วนอื่น ๆ ด้วย เช่น 100 สาขาแรกจะเริ่มมีกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่ private label เข้ามาเพิ่มเติม ทั้งนี้คาดว่าจะมี flagship store รูปแบบใหม่เกิดขึ้นราว 10 สาขา
ดร.พีระพงษ์ ฉายภาพทิศทางการแข่งขันของธุรกิจเครื่องสำอางทั้งในและต่างประเทศว่าจะร้อนแรงเพิ่มขึ้นกว่าในช่วงที่ 7-8 ปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยสายตาของคนนอกจะมองว่ามีอัตรากำไรสูง แต่แท้จริงแล้วเป็นตลาดที่พฤติกรรมผู้บริโภคมีความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากด้วยเช่นกัน จึงมีความเสี่ยงสูงพอสมควร ซึ่งหากผู้ประกอบการปรับตัวไม่ทันก็จะลำบาก ทำให้ช่วงที่ผ่านมาจึงมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาดอยู่เรื่อย ๆ แต่ก็ออกไปจากตลาดด้วยความรวดเร็วเช่นกัน
ขณะที่บมจ. บิวตี้ ฯ ดำเนินธุรกิจได้ราบรื่นด้วยจุดแข็งเป็นองค์กรขนาดใหญ่และมีเครือข่ายร้านของบริษัทเองที่พร้อมระบายสินค้าเข้าไปในตลาด รวมถึงมีช่องทางตลาดต่างประเทศ ตลอดจนมีแบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จัก จึงเป็นปัจจัยเอื้อให้บริษัทสามารถปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ดีเพื่อความอยู่รอด ไม่เพียงเท่านั้นยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่เปิดตัวสู่ตลาดไม่น้อยกว่าเดือนละ 5 SKUs ที่นับเป็นกลไกสำคัญให้ตลาดตื่นตัว อย่างไรก็ตามด้วยการรับรู้ของผู้บริโภคที่มองว่าคุณภาพผลิตภัณฑ์ของเครือบมจ.บิวตี้ ฯ ใกล้เคียงกับของแบรนด์ระดับสากลมากขึ้น แต่ราคายังถูกกว่ามาก ก็ถือเป็นจุดขายสำคัญด้วยเช่นกัน
“new comer ทั้งในตลาดไทยและต่างประเทศมาในหลายรูปแบบ แม้ผู้บริโภคจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่หลาหลายแต่ก็มี loyalty ต่อแบรนด์สูง”
ดร.พีระพงษ์ ฝากทิ้งท้ายอีกว่า ในวันนี้ทุกธุรกิจมีการแข่งขันสูงมาก ด้วยภาวะที่คู่แข่งไม่ว่าจะเป็นกิจการขนาดเล็กหรือใหญ่ต่างก็มีศักยภาพทัดเทียมกันทั้งหมด มีช่องว่างความได้เปรียบเสียเปรียบแคบลงกว่าในอดีตมาก เช่นเดียวกับที่พฤติกรรมผู้บริโภคเองก็ผันแปรเร็วมาก ด้วยเหตุที่มีข้อมูลข่าวสารเป็นจำนวนมากและผู้บริโภคก็มีทักษะในการเลือกเสพข้อมูลที่เชี่ยวชาญขึ้นกว่าเดิมมาก ทำให้อำนาจการเลือกซื้อผ่านทางการกด click ของผู้บริโภคสูงมากในทุกตลาด
ผู้บริหารธุรกิจต้องหูตากว้างไกลและต้องรู้จักแพ้รู้จักชนะในแต่ละเกมธุรกิจ ไม่มีใครเป็นรักษาตำแหน่งผู้นำได้ตลอดไป
Sign in to read unlimited free articles